เทศน์เช้า วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันพระวันทำบุญ วันทำบุญ หาบุญกุศลใส่หัวใจ บุญกุศลใส่หัวใจนะ ชีวิตนี้แสนสั้น ชีวิตเราเราว่ายืนยาว ๑๐๐ กว่าปียืนยาวมาก เพราะมันเพลินไปกับชีวิตไง แต่ดูสัตว์สิ ดูสัตว์ไม่กี่วันมันก็ตาย สัตว์บางชนิดไม่กี่วันก็ตาย ชีวิตหนึ่งเขาวนเวียนมาหลายชีวิต ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่หลายรอบเลย เราชีวิตหนึ่งตายไป เหมือนกันเลย เหมือนกัน ในวัฏวน ในพรหมนี่ ๘๐,๐๐๐ ปี ในเทวดา ในอินทร์ ในพรหม บางทีว่า ๙ ล้านปีการตกนรกอยู่ เขาคำนวณไง ๑๐๐ ปีของเรา เท่ากับ ๑ วันของเขา คำนวณชีวิตเขา อันนี้คำนวณออกมาเป็นอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ความเพลินในชีวิตของเรา ถ้าเราเพลินในชีวิตของเรา เราไม่ทำความเพียรขึ้นมานะ เวลาทำความเพียรขึ้นมาเราพยายามหาคุณงามความดี มันอัดอั้นตันใจ มันอุดอู้ไง ทำไมมันไม่เป็นไป มันทำให้เป็นไป นี่เรื่องของศาสนา โลกนี้จะขาดศาสนาได้หรือ? โลกนี้ถ้าขาดศาสนามันไม่มีอะไรอยู่ในหัวใจไง ถ้าหัวใจเร่าร้อน หัวใจของเรามันคิดประสาของมัน มันไม่มีเครื่องเทียบเคียง เหมือนเรากินแต่อาหารเราไม่มีน้ำกลั้วคอไป เราติดคอตายเลย
โลกนี้ก็เหมือนกัน เพราะมีศาสนาเป็นน้ำดับไฟ ศาสนานี้เป็นน้ำดับไฟ แต่ตัวศาสนาเรามองกันว่าตัวศาสนาคืออะไร? ตัวศาสนา เห็นไหม ศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนวัตถุ ศาสนวัตถุมันเป็นวัตถุ เรามองรวมกันไปว่าเป็นตัวศาสนา แต่ความเป็นจริงศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ ศาสนธรรมไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แล้วเอาอะไรปฏิบัติล่ะ? เอาหัวใจปฏิบัติ
เรื่องของใจ เรื่องของนามธรรม เข้าถึงศาสนามันเรื่องแสนยาก แล้วการรักษาศาสนาไว้มันก็แสนยาก เห็นไหม เวลาเราปฏิบัติกัน เราทำของเรา มันถูกหรือมันผิดเราก็ไม่เข้าใจ เราทำของเรา เราไม่เข้าใจ ใจของเราเองยังจับต้องไม่ได้เลย ใจของเรา เราหาใจของเรา เราจับต้องใจของเรา ตรงไหนเป็นใจ ตรงไหนเป็นกายเราแบ่งแยกไม่ถูก เห็นไหม ถึงว่าต้องเชื่อในศาสนาก่อน เชื่อในความเป็นจริง
ความเชื่อ ความเชื่อเป็นความเปิดใจ หงายภาชนะขึ้นมา หงายสิ่งที่คว่ำอยู่ สิ่งที่มันบรรจุสิ่งของไม่ได้หงายมันขึ้นมา ถ้าหงายหัวใจขึ้นมา มีความเชื่อของใจ ใจมันหงายขึ้นมา พอหงายขึ้นมา กำหนดพุทโธเข้าไปมันจะเปิดรับไง ถ้าเราปิดใจของเรา เราปิดใจของเรานะ เราทำคุณงามความดีแล้ว เราเกิดมาเราก็ลำบาก ทุกข์แสนยากลำบากแล้วเราจะต้องทำอะไรให้มันลำบากไปกว่านี้อีก มันปิดแล้วมันตอกย้ำด้วย ตอกย้ำใจเราไม่ให้เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเลย
สิ่งใหม่ๆ คือความคิดใหม่ๆ ความคิดริเริ่มไง มันจะไล่ความคิดเก่าๆ ออกไป ความคิดของเรามันสะสมขึ้นมาแล้วมันมีแต่ความคิดเก่าๆ ความคิดของเรามันสะสมแล้วมันคิดเก่าๆ ย้ำคิดย้ำทำแต่ความคิดเดิม ความคิดใหม่ ความคิดใหม่ให้สละสิ่งนั้นออก มันเป็นไปได้ เรื่องของนามธรรม เรื่องของใจ มันสละออกได้ เรื่องของความหมักหมมของใจ เรื่องของความรู้สึกของใจมันเปลี่ยนแปลงได้
ความเปลี่ยนแปลงได้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ถ้าสิ่งที่ทำไม่ถูกใจเรา เราพยายามจะผลักไสออกไป สิ่งใดที่เป็นความพอใจของเรา เราจะเหนี่ยวรั้งไว้ให้เป็นความคิดของเราตลอดไป แต่มันก็เหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ มันก็เผลอ มันก็ลืมไป เห็นไหม นั่นแหละธรรมคือความคิดของใจ ธรรมนี่นะ เหตุไง เหตุคือมรรค มรรคคือเครื่องดำเนิน การแยกแยะเข้าไปเปลี่ยนแปลงความคิดของใจ นั่นแหละมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะอะไร? เพราะว่ามันไม่มีความศรัทธา ไม่มีความเชื่อ ถ้ามีความศรัทธามีความเชื่อ มันเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ด้วย
เด็กๆ นี่ล่อมันด้วยขนม ล่อมันด้วยของเล่นมันจะพอใจ มันจะหยุดร้องไห้ แต่ผู้ใหญ่ล่อด้วยของเล่นไม่ได้ ผู้ใหญ่ต้องล่อด้วยเพชรนิลจินดา ล่อด้วยความที่ว่าเป็นของจริงโดยสมมุติเขา เห็นไหม เป็นของจริงโดยสมมุติเขา มันก็เป็นของจริงโดยสมมุติเขา ให้คุณค่านิยมมันก็เป็นคุณค่านิยม เพราะสังคมนิยมมีคุณค่าขึ้นมามันก็เป็นของมีราคาขึ้นมา แต่ถ้าสังคมนั้นเลิกเล่น เลิกสนใจขึ้นมา สิ่งนั้นก็ไม่มีคุณค่าขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน ใจของเรามันเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ด้วยความเห็น เริ่มต้นด้วยศรัทธา พอตัวศรัทธาขึ้นมา มันมีศรัทธาขึ้นมาขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็เป็นศรัทธาความเชื่อ มันยังแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ใจจะทำความสงบเข้ามามันมีความเชื่อของมัน มันทำความสงบของมันเข้ามาได้ ถ้าไม่มีความเชื่อของมัน มันไม่ทำความสงบของมันเข้ามาหรอก มันผลักไสๆ นั่นแหละศรัทธาความเชื่อเหมือนหัวรถจักร ถ้ามีหัวรถจักร มันจะดึงขบวนรถจักรมาทั้งหมดเลย
ในทรัพย์ของโลกเรา นี่ศรัทธาความเชื่อเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุด มันจะดึงเรามา ดึงให้ร่างกายเรามา ดึงความคิดเห็นของเราเปิดไป เปิดออกไปเพื่อจะรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา ศรัทธาความเชื่อ ทีนี้ศรัทธาความเชื่อมันต้องมีปัญญา ถ้าความเชื่อของเราเชื่อด้วยความงมงาย เราเชื่อด้วยความคิดของเรา เราเชื่อเขาตลอดไป มันก็เชื่อไม่ได้
อย่างเชื่อว่านี่ถ้าใครโต้แย้งเรื่องมรรคผลนิพพานได้คนนั้นเก่งมาก คนนั้นถ้าโต้แย้ง เพราะความเชื่อของเราเชื่อตามกันมาว่าสวรรค์มี นรกมี เราเชื่อกันมาอย่างนั้นว่าสวรรค์มี นรกมี แล้วมรรคผลนิพพานก็มี แต่ความเชื่อมันเป็นสังคมส่วนใหญ่ ถ้าเรามีความโต้แย้งขึ้นมาเราจะมีจุดเด่นไง เด่นว่าเราสามารถมีปัญญามาก เราจะโต้แย้งสิ่งนั้นได้
มันจะโต้แย้งไปไหน มันคนตาบอด คนตาบอดมันชอบเถียง คนตาบอดมันมีความสงสัยตลอด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตาสว่างนะ ชี้ไว้เลยว่ามรรคผลนิพพานมี ผู้ที่ทำเหตุนะ ในไฟถ้าเราเอามาจี้เราร้อน ไฟจี้เรานี่เราเจ็บแสบขึ้นมา เป็นไฟขึ้นมา ถ้ามันยังเป็นไปได้อยู่ มรรคผลนิพพานมันก็มีอยู่เพราะอะไร? เพราะหัวใจมันทุกข์ใช่ไหม?
ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ถ้าเราแก้ไขทุกข์ของเราได้ เราดับทุกข์ได้ ทุกข์มีความเกิดขึ้นมันเหมือนไฟ ถ้าเราดับด้วยน้ำ ไฟมันดับขึ้นไป มันเป็นสัจจะความจริงมันมีอยู่ มรรคผลนิพพานมันก็ต้องมีอยู่ เพราะอะไร? เพราะทุกข์เกิดขึ้นมาจากใจ ใจนี้มีความทุกข์มาก มีความเร่าร้อนมาในหัวใจ แล้วมันดับไปในหัวใจของสัตว์โลกนั่นน่ะ มันดับไป
มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ด้วยมรรคอริยสัจจัง ด้วยมรรคญาณ แต่มันไม่เป็นไปได้โดยความนึกคิด ความนึกคิดมันมีความเปลี่ยนแปลงอารมณ์ มันก็ซุกปัญหาไว้ใต้พรม ซุกปัญหาไว้ ในหัวใจของเรา ซุกปัญหาไว้หมดเลย เพราะมันไม่สามารถแก้ไขได้ มันไม่ได้แก้ไข มันเพียงแต่ว่ามีความคิดใหม่เข้ามา มีความคิดใหม่เข้ามา แต่ถ้าเราวิปัสสนา ถ้าทำใจของเราสงบขึ้นมา ใจของเราจะสงบขึ้นมา แล้วจับสิ่งนั้นขึ้นมาวิปัสสนา จับสิ่งที่มันเป็น สิ่งที่มันเกาะเกี่ยวในใจขึ้นมาตั้งไว้เป็นโจทย์ แล้ววิปัสสนาแยกแยะมันออกไป
ถ้าแยกแยะมันออกไป สิ่งนั้นมันถึงเป็นการชำระกิเลส มันเกิดจากที่ไหนล่ะ? มันเกิดจากหัวใจ ต้องมีความคิดของใจริเริ่มขึ้นมา แล้วก้าวเดินขึ้นไป นี่ศาสนธรรมสอนตรงนี้ นี่หัวใจของศาสนาคือเรื่องของอริยสัจ หัวใจของศาสนาเป็นเรื่องของการกำจัดความผิดพลาดในหัวใจของเรา ความผิดพลาดในหัวใจนะ เพราะใจนี้มียางเหนียว มีความยึดมั่นถือมั่น ใจนี้ยังต้องเกิดต้องตายต่อไป เราทิ้งเฉพาะร่างกายไว้ในธรรมชาติของเขานะ ทิ้งร่างกายคืนโลกเขาไป แต่หัวใจนี้ต้องไปเกิดใหม่ เกิดใหม่ เกิดเป็นสัตว์ขึ้นมาก็มีร่างกายเป็นเดรัจฉาน
อบายภูมิ ๔ ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นมาก็มีร่างกายเหมือนมนุษย์ มันก็ใกล้ชิดกับมนุษย์หน่อย ถ้าเกิดเป็นพวกสัตว์นรกขึ้นไปมันก็ได้เป็นกายของเขา เป็นกายที่ว่ามันเป็นสัตว์นรกไม่มีร่างกาย มีแต่ความเป็นนามธรรมทั้งหมด นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเกิดบนพรหม เกิดบนสวรรค์มันก็เกิดขึ้นไปเป็นอย่างนั้น ใจดวงนี้มันถึงไม่ดับ มันต้องไปอีก เพราะมันติดยางเหนียวในหัวใจ มันติดความคิดอันนี้ แล้วความคิดอันนี้มันก็เผาลนใจ
นี่สิ่งที่ความทุกข์มันทุกข์อันหนึ่ง สิ่งที่มันมีเสียดแทงใจ สิ่งที่มียางเหนียว สิ่งที่มีความคิดมันต้องก้าวเดินตามพลังงานที่ขับไส พลังงานที่มันขับเคลื่อนไปไง ใจนี้มีพลังงานขับเคลื่อนในหัวใจ เห็นไหม มันต้องเป็นไป ทีนี้พลังงานขับเคลื่อนมันแยกแยะว่าเป็นบาปอกุศล หรือเป็นบุญกุศล นี่เราถึงต้องทำบุญกุศลไง เราถึงว่าวันนี้วันพระไง วันพระเราหาเข้ามาในหัวใจ หาเรื่องความเป็นใจ เราสละออกให้ทาน
สิ่งที่สละออกนั้นเราอุตส่าห์หาเงินหาทองมา เพื่อหาเงินหาทองมา แล้วเราแลกเปลี่ยนเอามาเป็นอาหาร เป็นทาน แล้วเราสละออกไป เห็นไหม มันเป็นบุญกุศลแน่นอน มันสะสมลงที่ใจ ใจนี้แยกแยะออกมา ใจนี้ทำออกไป ใจนี้เป็นผู้สละ คิดตั้งแต่เมื่อคืนว่าพรุ่งนี้จะไปวัด คิดตั้งแต่เมื่อคืน นี่เป็นเจตนา เป็นความเห็น นี่เปิดประตูโล่งแล้ว เปิดประตูโล่ง ความคิดของเราคิดออกไป กับความคิดว่าพรุ่งนี้เราจะไปลักขโมยเขา ความคิดมันเป็นอย่างไร? มันต่างกันมากเลย
ความคิดว่าเราจะเอาเปรียบเขา เห็นไหม ความคิดที่เริ่มต้นเป็นกุศลขึ้นมามันก็เป็นกุศลเข้ามา นั่นแหละความคิดเป็นอกุศลหรือเป็นกุศลขึ้นมา พลังงานนี้เป็นพลังงานขับเคลื่อนของใจ แล้วเวลาภาวนาไปมันละพลังงานทั้งหมด มันตัดพลังงานทั้งหมด พลังงานที่ว่าเป็นพลังงานขับเคลื่อนทั้งหมด มันจะโดนชำระออกไปจากใจ มันเป็นพลังงานบริสุทธิ์ไง เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุที่ว่าไม่ขับเคลื่อน ไม่มีสิ่งใดก้าวเดินต่อไป มันจะเต็มที่เติมอีกไม่ได้ในหัวใจนั้น มันจะเต็มเปี่ยมในหัวใจ พลังงานนี้โดนตัดออกไป โดนตัดออกไปด้วยวิปัสสนา วิปัสสนา
นี่ศาสนธรรมคำสั่งสอนนี่สั่งสอนตรงนี้ไง สั่งสอนด้วยเรื่องทาน ศีล ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา มีศีล มีสมาธิแล้วมีปัญญา ปัญญาใคร่ครวญ ปัญญาอย่างหยาบๆ เราเข้าไม่ถึงนะ มันลึกซึ้งมาก ปัญญาอย่างเรา สัมมาอาชีวะมีการเลี้ยงชีวิตชอบเราก็ว่าเป็นมรรคของเรา ถูกต้องเป็นมรรคของเราเพื่อก้าวเดินเข้าไปหาธรรม แต่มรรคในการประพฤติปฏิบัติมันเลี้ยงใจชอบ เลี้ยงอารมณ์ไง อารมณ์ที่มันเป็นอาหารของใจ ใจนี่กินอารมณ์เป็นอาหาร กินความรู้สึกเป็นอาหาร ถ้าเลี้ยงใจชอบ ความคิดถูกต้องมันก็จะก้าวเดินไปในทางที่ถูกต้อง
ความคิดที่ผิด แม้แต่ความคิด ในสมัยพุทธกาลพระที่ว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วเขากล่าวตู่ว่าทำความผิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาไต่สวนต่อหน้า แม้แต่คิดยังไม่เคยคิด แม้แต่คิดทำความชั่วยังไม่มี ความคิดในความชั่วไม่มี แล้วการกระทำมันมาจากไหน?
นี่ก็เหมือนกัน ใจอิ่มเต็มแล้วไม่สามารถเติมอีกได้ ความคิดในสิ่งที่ชั่วมันไม่มีในหัวใจอันนั้น แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร? อันนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ? มันเกิดมาจากคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาจากธรรมอันนั้น ธรรมอันนั้น ธรรมคือมรรคอริยสัจจัง ธรรมอันนั้น มรรคทำไมเราคาดว่ามรรคอริยสัจจังมันต้องทำถูกต้องแล้ว เราทำต้องถูกสิ มันหยาบ ทำแบบเด็กก็เป็นมรรคของเด็กๆ ทำแบบผู้ใหญ่ก็เป็นมรรคของผู้ใหญ่
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าทำแบบเด็กๆ ความคิดของเราเป็นโลกียะ เราคิดขนาดไหนมันก็เป็นการคาดการหมาย ผู้ใดคาดหมายมันจะได้ความคาดหมาย ผู้ใดทำความคาดหมายเข้าไป แล้วทำความจริงเข้าไป ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะถึงจะเข้าถึงหัวใจ นี่มรรคของผู้ใหญ่ มรรคของผู้ใหญ่มันเป็นมรรคในหัวใจไง มรรคที่ในหัวใจเกิดขึ้น สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา ความสงบความตั้งใจของใจ อ๋อ มันเป็นแบบนี้เอง ใจมันตั้งมั่นนะ มันปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ได้ทั้งหมดเลย มันปล่อยวางเป็นเอกเทศของมันเข้ามา
สิ่งที่เป็นเอกเทศมันมีพลังงาน เห็นไหม พลังงานนี้เป็นพลังงานบวก ไม่เป็นพลังงานลบแล้ว พลังงานบวกนั่นล่ะย้อนกลับมาวิปัสสนา พลังงานตัวนี้ยกขึ้นมาเป็นมรรค ถ้ามรรค นี่มรรคของผู้ใหญ่เกิดขึ้น มรรคของผู้ใหญ่เกิดขึ้น พลังงานเกิดขึ้นในหัวใจ ความใคร่ครวญในใจมันจะต่างกับความคิดข้างนอกเลย เวลาวิปัสสนาเกิดขึ้นในหัวใจนะมันเหมือนการสู้รบกัน นี่กองทัพกิเลสกับกองทัพธรรมสู้รบกันกลางหัวใจ สงครามเกิดขึ้น แล้วสงครามแพ้ชนะ ถ้ากิเลสชนะขึ้นมาเราจะมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าธรรมชนะเราจะมีความสุขใจของเรา เราจะปล่อยวางขึ้นมาจนเกิดสันติภาพในหัวใจ
นี่พลังงานตัวนั้นโดนชำระออกไปจากใจหมดสิ้น สันติภาพเกิดจากใจ ใจดวงนี้อิ่มเต็มในความเห็นของมัน ใจดวงนี้ นี่สิ่งที่ปรารถนา มรรค ผล นิพพาน เกิดขึ้นมาในศาสนาพุทธ มรรค ผล นิพพาน เกิดขึ้นมาจากมีมรรคอริยสัจจัง ถ้าศาสนาไหนมีมรรค ศาสนานั้นมีผล ศาสนาไหนมีเหตุ เหตุในการสร้าง เหตุในการสร้างเปลือกๆ ในความเห็นของโลกเขานั่นเป็นเรื่องเปลือกๆ นะ ความคิดในหัวใจที่มันเป็นมรรคอริยสัจจังภายในหัวใจ ผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้นถึงจะเห็นสิ่งนี้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติไม่เคยเห็น ปัญญาสิ่งนี้เป็นภาวนามยปัญญา ถ้าใครเคยเห็นภาวนามยปัญญา ผู้นั้นต้องเป็นอริยบุคคลขั้นต่ำขึ้นไป เพราะมันจะเกิดขึ้นกับใจดวงนั้น แล้วมันสมุจเฉทปหานใจดวงนั้นขาดออกไปจากใจ
นั่นแหละเป็นสิ่งที่ว่าเกิดขึ้นมาจากเราเชื่อเราศรัทธา เราก็มีความเป็นไปได้ เรามีเป้าหมาย ถ้าเราไม่เชื่อเราไม่ศรัทธา เราก็วนเวียนอยู่ในโลกนี่แหละ วนเวียนไปตามกระแสของโลกเขา บุญกุศลก็สร้างสมไปเพื่อเกิดดีเกิดชั่วไปตามประสาโลกเขา แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราได้ เราจะตัดของเราได้ แล้วขาดสิ้นไปจากใจดวงนี้ เอวัง